Skip to main content

จากที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เตรียมมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการติดเชื้อเอดส์ (เอชไอวี) ด้วยการรณรงค์ให้ความรู้เรื่องการป้องกันรักษาโรค ส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงอุปกรณ์ป้องกันโรค เช่น จัดตั้งตู้หยอดเหรียญซื้อถุงยางอนามัยในสถานศึกษา ทั้งกลุ่มอาชีวศึกษา และสายสามัญตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษาตอนต้นขึ้นไป โดยกำหนดให้เป็นยุทธศาสตร์ของปี 2558 - 2562 และให้กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) รับไปดูแล

โดย เมื่อวันที่ 9 ก.พ. ที่ผ่านมา ผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า กมล รอดคล้าย เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) ระบุว่า เบื้องต้น ศธ. จะเริ่มดำเนินการในสถานศึกษาที่มีความพร้อมก่อนนั้น ส่วนตัวตนไม่เห็นด้วยและไม่อนุญาตให้มีการติดตั้งตู้ถุงยางอนามัยภายในโรงเรียนอย่างเด็ดขาด และมองว่าหากจะรณรงค์ในเรื่องดังกล่าว สธ. ควรรณรงค์ด้วยวิธีอื่นจะเกิดประโยชน์มากกว่า หรือหากจะติดตั้งควรจะนำไปติดตั้งที่อื่นซึ่งไม่ใช่ในสถานศึกษา

ล่าสุดวันนี้ (16 ก.พ.) Voice TV รายงานว่า กมล กล่าวถึงข้อเสนอดังกล่าวว่า กรณีที่สถานศึกษา เขตพื้นที่การศึกษา หรือชุมชนใด เห็นร่วมกันว่า จำเป็นต้องติดตั้งตู้ขายถุงยางอนามัยในโรงเรียน ก็สามารถดำเนินการได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องทำหนังสือสอบถามมายัง สพฐ. แต่คงไม่ประกาศเป็นนโยบายลงไปถึงโรงเรียน

ด้านสำนักโรคเอดส์ วัณโรค และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การติดตั้งตู้ขายถุงยางอนามัยในสถานศึกษา เป็นหนึ่งในแนวทางช่วยให้เยาวชน เข้าถึงอุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ และการตั้งครรภ์ไม่พร้อม

โดยดำเนินการร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. มาตั้งแต่ปี 2547 ขณะนี้มีการติดตั้งตู้ถุงยางอนามัยในห้องน้ำชายของโรงเรียนอาชีวศึกษา แล้วกว่า 200 แห่ง รวมถึงในชุมชน พบว่าที่ผ่านมา บริเวณที่มีการกดใช้เยอะเฉลี่ยอยู่ที่ 140 กล่องต่อเดือน ส่วนบริเวณที่กดใช้น้อยเฉลี่ยอยู่ที่ 30 - 40 กล่องต่อเดือน

ก่อนหน้านี้ นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค ได้กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นยุทธศาสตร์ระยะยาว 5 ปี ตั้งแต่ปี 2558 - 2562 ของคณะกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาการติดเชื้อเอชไอวีแห่งชาติ ซึ่งในทางยุทธศาสตร์ก็ถือเป็นอีกแนวทางหนึ่งในการช่วยให้เยาวชนเข้าถึงอุปกรณ์ป้องกัน แต่แนวทางนี้ไม่ได้เป็นการบังคับว่าจะต้องดำเนินการในทุกโรงเรียน หากสถานศึกษาใดมีความพร้อมก็สามารถดำเนินการได้ แต่หากไม่เห็นด้วยและมีวิธีอื่นที่ดีก็สามารถดำเนินการได้ เพื่อปกป้องเยาวชนไม่ให้เป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ ซึ่งขณะนี้ในหลักสูตรการเรียนการสอนก็มีการสอนเรื่องเพศศึกษา ในเรื่องของเซฟเซ็กซ์อยู่แล้ว